Hyaluronic Acid คืออะไร? – 10 ข้อควรรู้ ก่อนฉีดปาก สิว และหน้า

การทำสวยไม่ใช่ทุกครั้งที่ต้องพึ่งมีดหมอ เทคโนโลยีศัลยกรรมใบหน้าได้มีการพัฒนามากขึ้นในทุกๆปี ซึ่งโดยมากเป็นการเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้ที่สนใจในการทำสวย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการใช้สารเติมเต็มผิวหนัง (หรือที่เรียกว่า Filler) ในการยกกระชับใบหน้า ที่ชื่อว่า Hyaluronic Acid เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้กัน

Hyaluronic Acid คืออะไร?

ในหน้านี้มีอะไรบ้าง?

Hyaluronic Acid (H.A.) เรียกเป็นภาษาไทยว่า กรดไฮยาลูโรนิก เป็นสารให้ความชุ่มชื้นผิวหนังตามธรรมชาติ ซึ่งหลายคนอาจเคยได้ยินโฆษณาเกี่ยวกับ ไฮยารูรอนกันบ้างแล้ว ซึ่งกรดตัวนี้เป็น สารเติมเต็มผิวหนังที่เรียกว่า ฟิลเลอร์ ที่มาจากน้ำตาล ซึ่งจริงๆแล้ว ในร่างกายของมนุษย์เรา ก็มีอยู่ในเนื้อเยื่อตามผิวหนัง และ กระดูกอ่อน ในลักษณะเจล ในรายที่มีมาก จะรู้สึกได้ว่าผิวเรียบและยืดหยุ่นได้ดี

หลักการทำงานของ Hyaluronic Acid นั้นอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายมาก เนื่องจากตัวของมันเองเป็นสารที่ให้ความชุ่มชื้นบนผิวหนัง รวมถึงเป็นสารหล่อลื่นตามข้อต่อของกระดูกและเนื้อเยื่อ และหน้าที่รองของมันคือมันมีผลต่อการตอบสนองต่อการบาดเจ็บด้วย

กรดไฮยารูโรนิก ตัวนี้จะมีน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น และนั่นเป็นเหตุผลที่ บริษัทเครื่องสำอางต่างๆ พยายามโฆษณาเกี่ยวกับสารตัวนี้ในเครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวหน้าหลายประเภท

ข้อดีของการฉีด Hyaluronic เข้าที่ใบหน้า 

ไฮยารูรอน เป็นฟิลเลอร์อีกประเภทหนึ่ง ( Derma Filler ) ซึ่งถูกใช้โดยศัลยแพทย์ เพื่อเติมใบหน้าให้เต็มอันเนื่องมาจากการขาดสาร HA ของแต่ละบุคคล และจุดที่มักใช้ฉีดกันเช่น แก้ม ตา ริมฝีปาก ฯลฯ โดยมีข้อดีดังนี้

ทำให้ปากดูอิ่มกว่าเดิม

การฉีดนั้นจะต้องเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การฉีดเข้าที่ปากเรียกว่า HA Lip Injection เพื่อทำให้ริมฝีปากดูอิ่ม และดูอ่อนวัย และยังสามารถช่วยปรับแต่งริมฝีปากให้ดูสวย และทำให้รูปปากสวยขึ้นได้อย่างชัดเจน

ลดรอยเหี่ยวย่น ตามจุดที่ฉีด

ทำให้ลดริ้วรอยบนใบหน้า รอบดวงตา โดยเมื่อฉีดแล้วจะสามารถสังเกตได้ทันทีว่า รอยเหี่ยวย่นหายไป จากบริเวณริมฝีปาก หน้าผาก ขมับ และส่วนต่างๆของใบหน้า

ฉีดแล้ว เห็นผลทันที ไม่ต้องรอ

การฉีด HA จะสามารถเห็นผลได้ทันทีทันใด หลังจากการฉีด (อ้างอิง asds.net) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลรวดเร็ว ซึ่งเมื่อเทียบกับครีมที่มี HA แล้ว การฉีดเห็นผลเร็วกว่า แต่ ครีมต่างๆนั้นจะใช้เวลาเป็นเดือน


ผลข้างเคียงของการฉีด H.A. บนใบหน้า

การฉีด H.A. นั้น คนไข้จำเป็นที่จะต้องบอกข้อมูลสุขภาพให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการประเมินการฉีด กรดไฮยาลูโรนิค ก่อน เช่น

  • เคยมีประวัติเกี่ยวกับเส้นเลือดตีบ อุดตันหรือไม่?
  • สูบบุหรี่หรือไม่?
  • มีภาวระโรคเบาหวานหรือไม่?
  • รับประทานยากดภูมิอยู่หรือเปล่า?
  • มีโรคเริมหรือไม่?
  • กำลังตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตรอยู่หรือไม่?

อาการที่พบบ่อย

ข้อมูลจาก Healthline.com แสดงให้เห็นถึง ผลข้างเคียงที่พบบ่อย จากการใช้ Hyaluronic Acid เช่น การมีจุดแดง และ อาการบวม บริเวณที่ฉีดชั่วคราว รวมถึง ผิวหนังเขียวช้ำ เลือดไหล บริเวณที่ฉีด หรือเป็นก้อน เป็นตุ่ม บริเวณรอบๆที่ฉีด โดยอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน

อาการที่พบไม่บ่อยมาก

อาจมีตุ่มน้ำใสผุดขึ้นจากบริเวณที่ฉีด อาการชาจากบริเวณ รวมถึงหากแพ้มาก อาจมีอาการปวดบวม การมองเห็นเปลี่ยนไป และ อาจมีการติดเชื้อจากการฉีดได้ หากฉีดแล้วมีอาการเช่นการปวดบวม ผื่นแดง และหายใจลำบาก ต้องรีบพบแพทย์ทันที


ขั้นตอนสำคัญในการฉีด

ก่อนการฉีดควรต้องมีการเตรียมตัวซะก่อน โดยต้องมีการปรึกษาแพทย์ก่อนการทำทุกครั้ง แพทย์อาจสั่งให้งดยาบางประเภท ที่อาจทำให้เลือดจาง หรือ วิตามินบางประเภทด้วย หลังจากนั้น แพทย์จะทำการขีดเส้นแบ่งตำแหน่งบนใบหน้า ริมฝีปาก เพื่อทำการวางแผนในการฉีดก่อน โดยขั้นตอนทั้งหมด จะมีดังนี้

  1. ประการแรก แพทย์ จะทำความสะอาดบริเวณที่ฉีด ด้วยแอลกอฮอล์ หรือ น้ำยาทำความสะอาดป้องกันเชื้อโรค
  2. จำเป็นจะต้องมีการฉีดยาชา ระหว่างการฉีด กรดไฮยาลูโรนิก 
  3. เมื่อยาชาออกฤทธิ์ แพทย์จะเริ่มทำการฉีดทันที หลังจากฉีดแต่ละจุดแล้ว จะต้องมีการคลึงบริเวณที่ฉีด  และอาจมีการฉีดเพิ่ม โดยการประเมินของแพทย์ ในแต่ละจุด
  4. หลังจากฉีดเสร็จแล้ว คนไข้ และ แพทย์ จะต้องประเมินด้วยกันว่าผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจหรือไม่? 
  5. ก่อนที่จะกลับบ้าน แพทย์ จะให้ประคบเย็นเพื่อลดอาการอักเสบ 

ขั้นตอนการฉีดกรดไฮยาลูโรนิก ทั้ง 5 ขั้นตอนด้านบนนี้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น และสามารถกลับไปทำงานทำกิจกรรมได้ทันที ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นยาว แต่ขึ้นอยู่กับแพทย์สั่ง เนื่องจากการฉีดลักษณะนี้ แพทย์มักให้ความเห็นว่า ควรพักฟื้นและงดกิจกรรมเป็นเวลา 2 วัน


ฉีดแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน? ราคาประมาณเท่าไหร่?

การเติมปาก หรือ เติมหน้าโดยการฉีด H.A. นั้น จำเป็นต้องฉีดอยู่เป็นประจำ เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้ไม่อยู่คงทนตลอดไป ซึ่งโดยปกติแล้ว ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 6 เดือน และควรฉีดทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้สภาพคงทนเหมือนเดิม

แต่อย่างไรก็ดี สำหรับบางคนแล้ว อาจต้องเข้าพบแพทย์เพื่อเติม เร็วกว่า 6 เดือน และ บางคน สำหรับการฉีด H.A อาจอยู่ได้นานถึง 12 เดือนเลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล

ราคา Hyaluronic ในต่างประเทศ

อ้างอิง American Society of Plastic Surgeons ราคาในการฉีดแต่ละครั้งจะอยู่ที่ราว $684 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 20,000+ บาท แต่อย่างไรก็ดี ราคาในต่างประเทศ อาจอยู่ระหว่าง 15,000 ไปจนถึง 50,000+ บาท เลยทีเดียว ซึ่งราคาจะแตกต่างกันไปในแต่ละเคส และการฉีดประเภทนี้ ไม่สามารถเบิกประกันสุขภาพได้

ราคาในประเทศไทย

สำหรับราคาในประเทศไทยนั้น จะขึ้นอยู่กับแต่ละ clinic ทำสวย โดยมากแล้วจะเป็นการเติมใต้ตาและริมฝีปาก ด้วยยี่ห้อที่เป็นนิยมอย่าง Cytocare มีราคาอยู่ราวๆ 900 – 4,000 บาท ซึ่งอยู่กับปริมาณที่ใช้ในแต่ละคน


ถ้าไม่ใช่การฉีด Hyaluronic มีวิธีอื่นๆที่เป็นทางเลือกหรือไม่?

การเดินเข้าไปในคลินิก เพื่อการฉีด Hyaluronic Acid อาจไม่ใช่คำตอบทุกครั้งเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่จะมาประเมินการใช้สารเติมเต็ม ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่คนไข้ควรที่จะรู้ และเข้าใจ การเติมหน้าด้วยสารต่างๆ และ นี่คือสารเติมเต็มที่ใช้แทน Hyaluronic Acid ได้

  • Botulinum Toxin (ฉีดโบท๊อกซ์)
  • ฉีดคอลลาเจน
  • ฉีดไขมัน
  • การปลูกถ่ายริมฝีปากใหม่
ใน 4 วิธีนี้ มักจะเป็นวิธีที่แพทย์เลือกใช้ หากเป็นการฉีด และนอกจากนั้น อาจมีการใช้ศัลยกรรมผ่าตัดด้วยเลเซอร์ หรือ มีด เพื่อปรับแต่งจุดต่างๆ ตามความเหมาะสม และตามที่แพทย์วินิจฉัยได้ 

เนื่องจาก Hyaluronic Acid เป็น Derma Filler ประเภทหนึ่ง ที่นิยมใช้กับรอบดวงตา และ ริมฝีปาก การฉีดจำเป็นต้องมีการประเมินจากแพทย์ และต้องมีการพบแพทย์ก่อน ไม่ควรที่จะฉีดนอกสถานพยาบาล หรือฉีดโดยบุคคล ที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ


การฉีด Hyaluronic เปรียบเทียบกับการ ฉีดไขมัน

การที่ใบหน้าหม่นหมอง ดูแก่ เหตุผลหนึ่งคือการเสีย “Facial Volume” หรือ เสียวอลลูมของหน้าของแต่ละคนจากการขาดไขมันบนใบหน้า ซึ่งวิธีการที่จะเติมเต็มนั้นมีอยู่ โดยการฉีดเพิ่มเติมเข้าไป โดยที่เรามีการกล่าวถึงแล้วว่า มีอีกหลากหลายวิธีนอกเหนือจากการฉีด Hyaluronic Acid และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กำลังเป็นที่นิยมคือการ ฉีดไขมัน เข้าที่ใบหน้า นั่นเอง

การที่เราจะเข้าใจว่า ตัวเราเหมาะกับอะไรมากที่สุด ในขณะที่ การฉีดทั้งสองประเภทนี้ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน เราควรต้องเข้าใจถึง ข้อดีข้อเสีย เพื่อการเปรียบเทียบ การฉีด Hyaluronic และ ฉีด Fat หรือที่เรียกว่า Fat Grafting ที่คนไทยยังไม่ค่อยพูดกันติดปากเท่าไหร่

เปรียบเทียบ การฉีดไขมัน VS Hyaluronic Acid

Pros / Cons

ฉีดไขมัน

ฉีด Hyaluronic

ข้อดี ใช้ไขมันตัวเองเป็นธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง
การดูดไขมันตัวเองมาใช้ สามารถลดไขมันจุดที่ถูกดูดได้ ใช้แค่ยาชาเท่านั้น
มี Stem Cell ปนมากับไขมัน ทำให้จุดที่ถูกฉีดลงไปดูอ่อนกว่าวัย พักฟื้นไม่นาน
ไขมันที่ถูกฉีดลงไป ทำให้อยู่ได้นานกว่าสารอื่นๆ หากไม่ชอบใจสามารถทำให้สลายทิ้งได้
ราคาถูกกว่า Hyaluronic ในระยะยาว
ข้อเสีย ต้องมีการดูดไขมัน และต้องวางยาสลบ มักพบอาการแพ้ เนื่องจากเป็นสารแปลกปลอม
การทำในระยะสั้น อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ต้องมีการฉีดต่อเนื่องบ่อยๆ
มีระยะพักฟื้นนานกว่า และ มีรอยช้ำ (ที่หายเองได้) ค่าใช้จ่ายสูงกว่าในระยะยาว
เจ็บสองจุด คือจุดที่ถูกดูดไขมัน และ จุดที่ถูกฉีดลงไป สารเติมเต็มมีอายุ และสลายไปในที่สุด
อ้างอิง dinomd.com
จะเห็นได้ชัดว่าการฉีด Hyaluronic จะมีข้อดีตรงที่ พักฟื้นน้อยและไม่ต้องวางยาสลบ แต่ข้อเสียคือ ในระยะยาวราคาค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกันกับการฉีดไขมัน ซึ่งเป็นของธรรมชาติ และสามารถดูดออกมาได้จากตัวของคนไข้เอง 

สำหรับราคาในการฉีดไขมันนั้น จะเริ่มต้นที่ 20,000 บาท+ และบางคลินิคอาจมีโปรโมชั่นด้วยราคาที่ถูกกว่านั้นได้

โปรโมชั่น เติมปาก เติมหน้า ด้วยไขมัน จาก The Skin


  • ฉีดไขมันธรรมดา ราคาอยู่ที่ 25,000 บาท
  • Nano Fat ราคา 40,000 บาท
  • Lipokit Nano Fat ราคาปกติที่ 60,000 บาท

คลินิก The Skin มี มี 6 สาขา นัดเข้ามาได้เวลา 13:00 – 18:00น. แจ้งนัดหมายล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันเพื่อการจัดระเบียบผู้เข้าใช้บริการ

  • สีลม
  • พระราม 2
  • พระราม 9
  • สะพานควาย
  • จรัญสนิทวงศ์
  • อุดมสุข

Botox เปรียบเทียบ Hyaluronic Acid อะไรดีกว่ากัน?

Botox ย่อมาจาก Botulinum Toxin เป็นสารที่ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ที่ได้มาจาก Bacteria ซึ่งจะถูกใช้งานอย่าถูกต้องด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยหน้าที่ของมันคือการทำให้ริ้วรอยหายไป แต่จะไม่สามารถใช้ได้ในกรณีที่ ผิวหนังสูญเสียคอลลาเจน

คำถามคือ การฉีด Botox เมื่อเปรียบเทียบกับ Hyaluronic Acid แล้ว มันต่างกัน หรือ เหมือนกันอย่างไร? 

  • ต่างกัน : ประการแรก Botox ถูกผลิตขึ้นจาก แบคทีเรีย แต่ Hyaluronic Acid เป็นสารที่ร่างกายสังเคราะห์เองได้ ดังนัน้ Hyaluronic Acid จึงเป็นสารที่ปลอดภัยกว่า
  • เหมือนกัน : การฉีดทั้งสองประเภทนั้น จะให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราว และต้องมีการทำซ้ำบ่อยๆ (ที่เราได้ยินหลายคนพูดกันว่า เติม Botox)
  • ระยะเวลาคงทนต่างกัน : Botox ให้ผลลัพธ์คงทนในระยะเวลา 4-6 เดือน ในขณะที่ Hyaluronic Acid อยู่ได้นานตั้งแต่ 6-12 เดือน ขึ้นไป
  • ใช้ในจุดที่ต่างกัน : Botox ใช้ลบรอยย่น บางจุดเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณหน้าผาก ตีนกา แต่สำหรับ Hyaluronic Acid มักใช้กับ ริมฝีปาก กระดูกแก้ม หรือ คาง
  • ระยะเวลาในการเห็นผล : การฉีด Hyaluronic Acid เห็นผลทันที และ จะได้เห็นผลลัพธ์เต็มๆ ประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากฉีดแล้ว แต่ Botox จะเห็นผลหลังจากฉีด 3 วัน และได้ผลลัพธ์เต็มที่ ในระยะเวลา 10 วัน
โดยการเปรียบเทียบแบบสรุปแล้วคือ Botox ใช้ในการฉีดเพื่อลดรอยเหี่ยวย่นตามจุดที่หน้ามีการขยับเวลาพูด สงสัย หรือ ยิ้ม เช่น ตีนกา รอยหน้าผาก ฯลฯ โดยจะอยู่คงทน 3-4 เดือน แต่ สำหรับ Hyaluronic Acid ใช้ฉีดตรงที่หน้าแฟบ หรือขาดความยืดหยุ่น นั่นเอง
อ้างอิง : bluenethopitals.com

เมื่อเปรียบเทียบ Hyaluronic Acid กับ Collagen Filler ?

เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า Collagen คืออะไร? เพราะเรามีคอลลาเจนที่รับประทานกันอยู่ทุกวัน แต่หลายคนยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ Collagen Filler ที่สามารถเอามาเติมหน้าให้เต่งตึงได้ ซึ่งการฉีดคอลลาเจน บนใบหน้านั้น ก็เป็นที่นิยมกันมาก และนี่คือสิ่งที่แตกต่างกัน หรือ เหมือนกัน ระหว่างสองตัว

  • เหมือนกัน ตรงที่ต้องมีแพทย์เฉพาะทางฉีดให้เท่านั้น
  • ต่างกัน ตรงที่ จำเป็นต้องมีการทำ Skin Test หรือทดสอบภูมิแพ้ของผิวของคนไข้ก่อนการฉีด เพื่อป้องกันการแพ้
  • ต่างกัน คอลลาเจนที่ใช้ จะมาจากผู้บริจาค ที่เป็นมนุษย์ และการฉีดจะต้องมีการทดสอบฉีดที่ใต้ผิวหนังและเว้นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน
  • หลังจากทดสอบว่าไม่แพ้แล้ว จะสามารถฉีดบนใบหน้าได้

ฉีดคอลลาเจน ส่วนใหญ่แล้วตรงไหน?

การฉีดคอลลาเจนลงบนใบหน้าตามจุดต่างๆ เหมาะสำหรับ คนไข้ที่มีแก้มตอบ มีรอยเหี่ยวย่น ตรงริมฝีปาก และต้องการเติมปากให้อิ่ม เหมือนกันกับ Hyaluronic Acid นั่นเอง แต่จะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน หรือ ผู้ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร

ราคาของการฉีดคอลลาเจน

เมื่อเทียบกันกับการฉีด Hyaluronic Acid แล้ว ราคาของการฉีดคอลลาเจน อาจต่ำกว่าเล็กน้อย อยู่ที่ราวๆ 15,000 – 30,000+ บาท ซึ่งเป็นราคาที่แล้วแต่ทางคลินิคจะกำหนดในแต่ละสถานพยาบาล

อ้างอิง : Cosmetictown.com

เลือกอะไรดี ระหว่าง Hyaluronic Acid / Fat Grafting / Botox / Collagen 

แน่นอนว่าการเลือกนั้นสุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับคนไข้เอง แต่ การเลือกแต่ละวิธีต้องมีการปรึกษาแพทย์ก่อน สำหรับในเคสนี้ คือการแยกออกเป็นเป็น 2 ประเภท นั่นก็คือ Fat Grafting VS Filler โดย ฟิลเลอร์ก็คือสามตัว ระหว่าง Hyaluronic Collagen และ Botox นั่นเอง

 Filler : Hyaluronic Acid, Collagen และ Botox

เหมาะสำหรับการใช้เติมหน้าในบางจุดที่มีรอยเหี่ยวย่น และได้ผลลัพธ์ทันที ซึ่งการฉีดนั้นเป็นสารแปลกปลอมที่ไม่ใช่ของร่างกาย ที่อยู่ได้ระหว่าง 3-6 เดือน เท่านั้น โดยมากแล้ว การใช้ทั้ง Hyaluronic Acid หรือ Botox นั้น มักจะเหมาะกับคนที่ไม่ชอบพักฟื้นนานๆ และได้ผลลัพธ์รวดเร็ว

Fat Grafting : เติมไขมัน ฉีดไขมันบริเวณหน้า

ไม่ใช่เฉพาะหน้าเท่านั้น เทคโนโลยี Fat Grafting สามารถนำมาใช้เติมไขมันที่หน้าอก เสริมอกให้ใหญ่ได้ด้วย ปลอดภัยเนื่องจากเป็นไขมันในร่างกายของตัวเอง ข้อเสียคือมีอาการเจ็บ และช้ำมากกว่า การฉีดฟิลเลอร์ แต่ จะมีผลดีหลักๆ สองประการคือ ทำให้หน้าสวยด้วย และ ลดไขมันจากที่ดูดมาด้วย

และจุดสำคัญสำหรับ Fat Grafting คือ ผลลัพธ์อาจอยู่ถาวระ หากเซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไปไม่ได้มีการสุญเสียระหว่างทาง 
อ้างอิง kelseyplasticsrugery.com

ทั้งหมดนี้ อยู่ที่ตัวคนไข้จะเลือกใช้วิธีไหน หากแพทย์วิเคราะห์ว่า สามารถใช้ได้ทั้ง 3 วิธี สำหรับผู้ที่สนใจ การฉีดไขมันเพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนานและคงทน สามารถปรึกษาแพทย์ฟรี ได้ตาม Link ด้านล่างนี้

ติดต่อเจ้าหน้าที่ / พยาบาล เพื่อรับส่วนลดออนไลน์

 

อ่านเพิ่มเติม

Previous articleเที่ยวใกล้กรุง 7 คาเฟ่อยุธยา Pantip บรรยากาศดี ถ่ายรูปเพลิน
Next articleหวยออกวันอังคารใส่เสื้อสีอะไรดี เป็นมงคล เสริมดวงการเงิน โชคลาภ