เช็คราคาก่อนล้างแอร์รถยนต์
ในหน้านี้มีอะไรบ้าง?
เมื่อใช้งานรถยนต์มาสักระยะ ผู้ใช้รถต้องนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการเช็คสภาพรถตามรอบที่กำหนด ซึ่งในแต่ละรอบก็มีบริการตรวจระบบการทำงานต่างกัน อย่างปกติต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เติมน้ำมันหล่อเย็น เช็คการทำงานของระบบไฟฟ้า ตรวจสอบผ้าเบรก หรือสภาพยางรถยนต์ และบางครั้งก็อาจมีบริการเสริมเข้ามา เช่น เมื่อวิ่งครบ 1 ปี ทางศูนย์บริการทำความสะอาดแอร์รถยนต์ พร้อมเติมน้ำยาแอร์ให้ เป็นต้น แต่บางคนอาจไม่ได้นำรถเข้าศูนย์บริการเป็นเวลานาน แล้วจู่แอร์รถยนต์ไม่เย็น นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนให้คุณล้างแอร์รถยนต์ เพื่อให้แอร์รถกลับมาใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิม แต่อาจเกิดคำถามตามมานั่นคือ รถยนต์ของเราควรล้างแอร์แบบถอดตู้ หรือไม่ถอดตู้ดี วันนี้ Promotions.co.th มีคำตอบมาฝาก
ควรล้างแอร์รถยนต์ เมื่อไหร่
ตามปกติแล้ว ผู้ใช้รถควรทำความสะอาดแอร์รถยนต์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทุก ๆ 20,000 กิโลเมตรขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานรถยนต์ของแต่ละคนด้วย หากระหว่างใช้งานรถแล้วมีสัญญาณเตือนเหล่านี้เกิดขึ้น บ่งบอกว่าคุณควรล้างแอร์รถยนต์ สัญญาณเตือนที่ว่ามีดังนี้
- กลิ่นอับภายในรถ
- ลมแอร์ออกน้อยลงไม่แรงเต็มที่
- มีน้ำหยดออกมาจากแอร์
- เปิดแอร์แล้วมีเสียงดังมาก ฯลฯ
ทำความสะอาดแอร์รถยนต์ มีข้อดีอย่างไร
รู้ไหมว่า การทำความสะอาดแอร์รถยนต์ไม่ได้มีข้อดีตรงทำให้แอร์เย็นชุ่มฉ่ำกว่าเดิม แต่นี่ยังเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของตู้แอร์ และคอมเพรเซอร์แอร์ รวมถึงลดการสะสมของสิ่งสกปรก ทำให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมมากทีเดียว

วิธีล้างแอร์รถยนต์ มีกี่แบบ
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินการล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้ และการล้างแอร์รถยนต์ไม่ถอดตู้มาบ้างแล้ว แล้วรู้ไหมว่าวิธีทำความสะอาดตู้แอร์ไม่ได้มีแค่ 2 วิธี แต่มีทั้งหมด 3 วิธีด้วยกัน ประกอบด้วย
ล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้
เป็นการรื้อตู้แอร์และนำคอยล์เย็นออกมาล้างด้วยน้ำยาทำความสะอาด ข้อดีคือสามารถทำความสะอาดได้ทุกซอกทุกมุม ทั้งยังสามารถตรวจเช็คสภาพของตู้แอร์ รวมถึงประเมินอายุการใช้งานของแอร์รถได้ แต่วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงและใช้เวลานานมาก เพราะต้องรื้อตู้แอร์ออกทั้งหมด
ล้างแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้
สำหรับการทำความสะอาดแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้นั้น เหมาะกับรถยนต์ใหม่หรือรถยตชนต์ที่มีการทำความสะอาดแอร์รถเป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นก่อนเริ่มต้นล้างแอร์ช่างจะนำกล้องขนาดเล็กเข้าไปส่องตรวจสอบสภาพตู้แอร์ก่อน เพื่อประเมินสภาพว่าตู้แอร์สกปรกมากหรือไม่ และอยู่ในสภาพที่สามารถล้างได้ไหม หากสามารถทำความสะอาดแอร์ได้ ช่างจะฉีดโฟมหรือน้ำยาทำความสะอาดเข้าไปที่แผงคอยล์เย็น แล้วใช้แปรงล้างทำความสะอาด ซึ่งวิธีนี้มีข้อดีคือไม่ต้องรื้อคอนโซล และทิ้งน้ำยาแอร์ ทำให้มีค่าใช้จ่ายไม่สูง เพราะไม่ต้องรื้อตู้แอร์ออกมาก
ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดตู้แอร์
การฉีดสเปรย์ทำความสะอาดตู้แอร์เป็นอีกวิธีที่ไม่ต้องรื้อตู้แอร์ออกมาให้ยุ่งยาก เพียงใช้สเปรย์ทำความสะอาดฉีดให้ทั่วคอยล์เย็นแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จนโฟมละลายหมดจากนั้นคราบน้ำยาจะค่อย ๆ ไหลออกมาพร้อมน้ำแอร์ตามท่อน้ำทิ้ง ทั้งนี้รถยนต์ที่ใช้งานในเมืองใหญ่หรือพื้นที่ที่มีฝุ่นหนาแน่น ควรฉีดสเปรย์ 2-3 เดือนต่อครั้ง เพื่อทำความสะอาดแอร์รถยนต์ แต่ใครที่เลือกใช้วิธีนี้อาจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายและราคาสเปรย์ที่สูงกว่าการล้างตู้แอร์แบบถอดตู้และไม่ถอดตู้จำนวนไม่น้อยทีเดียว
ล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้-แบบไม่ถอดตู้ ราคาเท่าไหร่
สำหรับค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดแอร์รถยนต์แบบถอดตู้ และไม่ถอดตู้นั้น มีราคาเริ่มต้นที่แตกต่างกันมาก ถ้าคุณต้องการใช้บริการล้างแอร์รถยนต์นอกสถานที่อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทั้งนี้ค่าล้างแอร์รถยนต์และค่าบริการนอกสถานที่จะมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับร้านหรือศูนย์บริการเป็นผู้กำหนด แต่เบื้องต้นมีค่าล้างแอร์รถยนต์อยู่ที่
- ค่าล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้ : อยู่ที่หลักพัน-หลักหมื่น
- ค่าล้างแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้ : อยู่ที่หลักร้อย-หลักพัน
เมื่อทราบกันแล้วว่า ควรล้างแอร์รถยนต์เมื่อใด ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ต้องเตรียมให้พร้อมมีจำนวนเท่าใด พอถึงระยะเวลาที่กำหนดก็อย่าลืมนำรถยนต์เข้ารับการตรวจสภาพ รวมถึงทำความสะอาดแอร์ เพื่อให้แอร์รถยนต์อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ จะได้ไม่ต้องมานั่งทุกข์หนักกับบิลค่าซ่อมแอร์ในภายหลัง นอกจากนี้การเปลี่ยนไส้กรองอากาศแอร์ตามระยะที่กำหนด ก็ช่วยให้ระบบแอร์ภายในรถยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อความอุ่นใจทุกการเดินทางอย่าลืมทำประกันภัยรถยนต์ติดไว้ด้วย
READ MORE :
- ทำสีรถยนต์ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ สีสวยเงางาม เหมือนได้รถคันใหม่
- Motor Show 2022 มีวันไหน สถานที่จัดงาน ไฮไลท์ในงาน
- แนะนำรถยนต์ไฟฟ้าไซส์มินิ ประหยัดพลังงาน ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
- วิธีประหยัดน้ำมันรถยนต์ ลดค่าใช้จ่าย ตอบโจทย์ยุคน้ำมันแพง
- ค่าต่อภาษีรถยนต์ราคาเท่าไหร่ จำเป็นต้องต่อไหม