บัตรเครดิตจะอนุมัติยากขึ้น จริงหรือ?
ในหน้านี้มีอะไรบ้าง?
ทุกวันนี้แม้ภายนอกเหมือนประชาชนจะดูจับจ่ายใช้สอยคล่อง แต่ภายในลึกๆ แล้วแต่ละคนก็ได้เอาเงินในอนาคตออกมาใช้ บางคนมีบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ และบัตรเครดิตก็ทำให้เกิดหนี้เสีย เพราะผ่อนจ่ายกันไม่หมดสักที แล้วยิ่งคนเมืองที่อยู่กับสิ่งสะดวกสบายล่อตาล่อใจ อะไรมาใหม่ก็อยากได้ ก็ยิ่งทำให้ควบคุมการใช้จ่ายของตัวเองยากขึ้น
เพราะการ “ซื้อของออนไลน์” และ ใช้จ่ายผ่าน “บัตรเครดิต” นั้นเป็นการถือตัวเลขเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ดังนั้นการคำนวณของสมองมนุษย์เรามันจะเร็วมากและคิดย้ำหน้าย้ำหลังไม่ทัน รู้หรือไม่ว่าการซื้อของออนไลน์นั้นหากซื้อของที่ไม่จำเป็น จะสร้างหนี้มหาศาลได้ทีเดียว
ลดวงเงินบัตรเครดิต
ล่าสุด ธนาคารพาณิชย์เตรียมออกประกาศมาว่าจะลดวงเงินสำหรับผู้ขอบัตรเครดิตใหม่ คนที่เงินเดือน 15,000 บาท นี้ก็แทบจะขอบัตรเครดิตไม่ผ่านแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 60 ขั้นต่ำจะเริ่มเป็น 30,000 บาท (หลังจากที่ก่อนหน้านี้เริ่มต้นไว้กับนสินเชื่อเพื่ออยู่อาศัยแล้ว) ในกรณีสินเชื่ออเนกประสงค์และอื่นๆ ก็จะต้องควบคุมให้เหลือวงเงินเพียง 1.5 เท่าของรายได้ เพราะหลังจากที่บางค่ายออกโปรโมชั่นให้วงเงินเกือบ 5 เท่า ทำให้มีกลุ่มลูกค้าบางส่วนไม่สามารถหาเงินมาคืนได้ ( อ่านเพิ่มเติม : ทำไม สินเชื่อบุคคล ต้องมีอายุงาน 3-4 เดือนนะ)
หนี้เสีย
หนีเสีย หรือ NPL ในช่วงนี้ สะสมตัวจนหลายฝ่ายกลัวว่าจะเกิด “ต้มยำกุ้งรอบ 2” อีกครั้ง เพราะมีสัญญาณว่าบ้านและคอนโดขายไม่ได้เลย ออกมาจัดโปรฯ พรีเซลล์หลายครั้ง ซึ่งมีเหตุผลมาจากค่าใช้จ่ายในการซื้ออสังหาริมทรัพย์นี้สูงขึ้น อย่างกรุงเทพฯ นี้สูงจนสัมผัสไม่ถึง บางคนเรียนจบมากำหลังหางานใหม่ จะให้กู้บ้าน ก็แทบจะไม่ผ่านอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมาจากบัตรเครดิต พบว่าผู้ใช้บัตรเครดิตส่วนมากควบคุมการใช้วงเงินไม่ได้ เต็มตลอด และพอครบปีก็จะถูกเก็บดอกเบี้ยเต็มจำนวน ไม่สามารถหาเงินต้นมาปิดได้หมด ด้วยเหตุผลหลากหลายของแต่ละคน
เงื่อนไขอนุมัติบัตรยากขึ้น
ธนาคารจะเปลี่ยนเงื่อนไชการอนุมัติบัตรมากขึ้น คุณอาจจะสมัครบัตรเครดิตไม่ผ่าน เมื่อเงินเดือนไม่ถึง 30,000 บาท หรือ รายได้ประจำไม่ถึง 30,000 บาท นอกจากนี้คนที่เคยถือบัตรหรือสินเชื่ออยู่แล้วก็จะได้รับมาตรการอนุมัติต่อยากขึ้นและถูกลดวงเงินอีกด้วย
สมัครบัตรเครดิตใหม่ |
บัตรหมดอายุ |
ขอสินเชื่อใหม่ |
คนที่ขอสินเชื่อใหม่ รายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท จะได้รับอนุมัติวงเงินไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ เท่ากับว่า ถ้าเงินเดือน 15,000 บาท จะได้รับวงเงินแค่ 22.500 บาทเท่านั้น | เมื่อบัตรเครดิตหมดอายุนี้จะวงเงินจะลดอัตโนมัติ เมื่อรายได้ประจำไม่ถึง 30,000 บาท วงเงินจะไม่สูงถึง 5 เท่าอีกต่อไป | ผู้ขอสินเชื่อใหม่ก็จะได้รับอนุมัติสินเชื่อไม่เกิน 1.5 เท่า เช่นกัน
(อ่านเพิ่มเติม : หลักการวิเคราะห์สินเชื่อ ) เช่น ถ้ารายได้ 30,000 บาท ก็จะได้รับวงเงินอนุมัติเพียง 45,000 บาทเท่านั้น |
ความเปลี่ยนแปลงนี้ ส่งผลอย่างไร
- ผู้ที่ต้องการขอวงเงินถาวรเพิ่มเติม ก็ควรรีบทำก่อน 15 ก.ค. 60 เพราะพ้นไปแล้วจะขอวงเงินถาวรเพิ่มยาก และอาจโดนลดเหลือ 5 เท่าอีก
- ผู้ที่สมัครบัตรเครดิตใหม่ๆ จะได้รับวงเงินน้อยลง
- ผู้สมัครสินเชื่อส่วนบุคคลจะมากกว่า “บัตรเครดิต” เพราะดอกเบี้ยน้อยกว่า
- คนที่เงินเดือน 15,000 บาท และมีภาระใช้จ่ายแบบพอดีตัว อาจจะไม่ได้รับอนุมัติ สินเชื่อบัตรเครดิตเลยด้วยซ้ำ
- ผู้ที่ต้องการสินเชื่อบุคคล จะไม่สามารถได้วงเงิน 100,000 บาท อีกต่อไป อย่างรายได้ 30,000 บาท จะได้รับวงเงินสูงสุด 45,000 บาทเท่านั้น จากเมื่อก่อน เงินเดือนเพียง 20,000 ต้นๆ ก็ขอวงเงินได้ถึง 100,000 บาท
สำหรับใครที่รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถยับยั้งชั่งใจในการซื้อของได้ ก็ควรจะปิดบัตรเครดิตให้เหลือแค่จำเป็นใช้เพียงใบเดียว ไม่ว่าคุณจะเป็นสายสะสมแต้ม สายแลกไมล์ แต่ถ้าหากอยากจะควบคุมตัวเอง ก็ควรเลือกบัตรจำเป็นที่ตรงกับความเป็นคุณมากที่สุด ไม่ต้องมีไว้เผื่อเลือกเผื่อเสีย เพราะว่าวงเงินที่เหลือจะเต็มเร็วมากสำหรับคนที่ชอบจับจ่าย หลังจากที่ตัดความไม่จำเป็นออกแล้วอาจจะมีความสุขมากขึ้น
“สินเชื่อบุคคลเพื่อรีไฟแนนซ์” สำหรับผู้ที่ตั้งใจว่าจะปลดหนี้ภายใน 12 เดือน ด้วยดอกเบี้ยต่ำ ก็มีถมไปให้เลือก แม้จะมีดอกเบี้ยมานิดหน่อย แต่ถ้าโดยรวมแล้ว จะ “ตัดวงจร” หนี้วงเงินเต็มของคุณได้ ก็น่าลองเหมือนกันค่ะ
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ —>
ทั้งหมดนี้เป็นมาตรการจาก “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ออกกฎมาเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 20 ปี ซึ่งหมายความว่าตอนนี้เศรษฐกิจเรากำลังเข้าสู่ภาวะบางอย่าง ที่ต้องระวังตัว “การใช้จ่าย” เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการขอไฟแนนซ์ รถยนต์ สินเชื่อบ้าน อาจจะผ่านง่าย แต่ระหว่างปีถัดไปจะมีรายได้พอเพื่อส่งค่างวดหรือไม่นั้น ต้องติดตามกันยาวๆ