ไฟเซอร์ทดสอบวัคซีนต้านโอไมครอนโดยเฉพาะ  ความหวังใหม่หยุดไวรัสกลายพันธุ์

วัคซีนที่ดีคือวัคซีนที่มีประสิทธิภาพป้องกันโรค

การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบในหลายด้านตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019 ที่เริ่มพบการระบาด จนมาถึงปี 2022 ก็ยังมีการระบาดอยู่ ถึงแม้จะมีการผลิตวัคซีนใหม่ ๆ ออกมา แต่ไวรัสก็มีการกลายพันธุ์เพื่อหลีกภูมิคุ้มกันของมนุษย์อยู่เสมอ ตอนนี้การกลายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง (Variant of Concern: VOC) คือ สายพันธุ์โอไมครอนที่กระจายการระบาดในทุกภูมิภาคของโลก

อาการของผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์โอไมครอน

โรคโควิดเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งระบบที่เกี่ยวข้องกับการหายใจจะได้รับผลกระทบ ส่วนที่น่าเป็นห่วงคือปอด การป้องกันไม่ให้ไวรัสลงปอดจึงมีความสำคัญ ที่ผ่านมาไวรัสโควิดกลายพันธุ์หลายสายพันธุ์พยายามที่จะกระจายเชื้อเข้าไปในปอดมนุษย์ สร้างความวิตกให้คนในสังคม สายพันธุ์โอไมครอนเองก็เช่นกัน แม้อาการจะฟังดูไม่หนัก แต่ก็ไม่ควรวางใจ เพราะหากลงปอดแล้วจะส่งผลกระทบต่อร่างกายเป็นอย่างมาก อาการโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมีดังนี้

  • มีไข้ต่ำ – รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ไข้ต่ำ ๆ ไม่สูงมาก ไม่สัมผัสถึงความร้อน
  • ไอแห้ง – อาการไอแบบไม่มีเสมหะ รู้สึกระคายคอ เพราะเชื้อไวรัสมักจะกระจุกอยู่ที่คอ
  • เหงื่อออกตอนกลางคืน – อาการเฉพาะของโอไมครอน มีเหงื่อออกตอนแม้จะเปิดแอร์และไม่รู้สึกร้อน
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย – รู้สึกปวดเมื่อยบริเวณข้อต่อและกล้ามเนื้อ
  • เหนื่อยง่าย – หากเชื้อมีการลงปอด ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ

อาการของโอไมครอนมีอาการคล้ายไข้หวัดปกติ หากพบอาการใดอาการหนึ่งในนี้ ควรตรวจร่างกายด้วยชุดตรวจ ATK เพื่อความอุ่นใจ และหากพบว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยงควรตรวจร่างกายด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้งเพื่อความมั่นใจด้วยหากไม่พบเจอเชื้อจากชุดตรวจ

การทดลองวัคซีนไฟเซอร์สำหรับโอไมครอนโดยเฉพาะ

ขวดวัคซีนโควิด
ไฟเซอร์ทดสอบประสิทธิภาพต้านโอไมครอน

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ทำให้ผู้ผลิตวัคซีนหลายฝ่ายจับตามอง เพราะเชื้อไวรัสมีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่ง และทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดน้อยลง ไฟเซอร์จึงมีการเริ่มทดลองวัคซีนสูตรสำหรับต้านเชื้อไวรัสโอไมครอนโดยเฉพาะ โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มตัวอย่างเป็นประชากรในวัย 18 – 55 ปี จำนวน 1,415 คน มีคุณสมบัติการฉีดวัคซีนแตกต่างกันไป และถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 จำนวน 615 คน

  • ฉีดวัคซีนไฟเซอร์มาแล้ว 2 โดส
  • มีการฉีดวัคซีนภายใน 90 – 180 วันก่อนทำการทดสอบ

การทดลอง: กลุ่มนี้จะได้รับการฉีดวัคซีนโอไมครอนอีกคนละ 1หรือ 2 โดส แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน

กลุ่มที่ 2 จำนวน 600 คน

  • เคยฉีดวัคซีนไฟเซอร์มาแล้วครบโดส
  • ได้รับบูสเตอร์โดสเป็นไฟเซอร์ รวมฉีดวัคซีนมาแล้ว 3 เข็ม

การทดลอง: กลุ่มนี้จะได้รับการฉีดวัคซีนวัคซีนโอไมครอนจำนวน 1 โดส หรือได้รับบูสเตอร์โดสเป็นไฟเซอร์ปกติ 1 โดส แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน

 กลุ่มที่ 3 จำนวน 200 คน

  • ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน
  • ไม่เคยเป็นผู้ป่วยโควิดมาก่อน

การทดลอง: กลุ่มนี้จะได้รับวัคซีนโอไมครอนคนละ 3 โดส

การทดลองวัคซีนโอไมครอนของไฟเซอร์ยังคงอยู่ในขั้นตอนการทดลอง โดยในวันที่ 25 มกราคม 2565 ไฟเซอร์เพิ่งได้เริ่มทดลองในกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด คาดว่าหลังจากติดตามผลจนได้ข้อสรุปแล้ว จะสามารถพัฒนาและใช้วัคซีนสูตรโอไมครอนได้ภายในเดือนมีนาคม 2565 นี้

โควิดสายพันธุ์โอไมครอนมีความน่ากลัวตามแบบฉบับของตนเอง ถึงแม้อาการจะไม่รุนแรงก็ไม่ควรประมาท ประชาชนควรระมัดระวัง สวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน ล้างมือบ่อย ๆ มีการพกเจลแอลกอฮอล์ติดตัวไปด้วย หลีกเลี่ยงสถานที่ที่แออัด เชื่อว่าเมื่อประชาชนส่วนให่ได้รับวัคซีนที่มีมาตรฐานจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ในที่สุด

อ่านเพิ่มเติม:

Previous articleปัญหาโลกแตก ฝ้า กระ เกิดจากอะไร มีวิธีแก้หายขาดไหม
Next article8 ที่เที่ยวกับแฟนงบน้อย วาเลนไทน์ยังหวานแม้เศรษฐกิจจะไม่ดี